23/2 ม.สินทวีสวนธน 2 ซ.ประชาอุทิศ 76
ถ.ประขาอุทิศ แขวง ทุ่งครุ เขต ทุ่งครุ กทม.
10140
18 กุมภาพันธ์ 2556
เรื่อง ขอสมัครงาน
เรียน ผู้จัดการฝ่ายบุคคล บริษัท พุทธรักษา จำกัด
สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.ประวัติย่อ
2.ใบรับรองการศึกษา
3.รูปถ่าย
ดิฉันทราบจากโฆณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 ว่าทางบริษัทของท่านต้องการรับสมัครพนักงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษร ดิฉันมีความสนใจมาก
จึงมีความประสงค์จะขอสมัครงานในตำแหน่งดังกล่าว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก บริษัทของท่านเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ใช้บริการโฆษณาย่อยจากหนังสือพิมพ์
ในเครือของท่าน
ประการที่สอง ดิฉันมีความสนใจงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการพิสูจน์อักษร
ซึ่งเป็นงานที่ดิฉันมั่นใจว่าจะสามารถใช้ความรู้และความสามารถที่เรียนมาทางด้านอักษรศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย ในระดับปริญญาตรี
จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เป็นระหว่างที่ศึกษาอยู่
ในระดับปริญญาตรี ดิฉันได้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตรหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าว
ดิฉันจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ดิฉันจะสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรได้ดี
และหากท่านต้องการตรวจสอบประวัติของดิฉัน โปรดติดต่อได้โดยตรง
ยังผู้ที่มีรายชื่อใน ประวัติย่อของดิฉัน พร้อมกันนี้ ดิฉันได้จัดส่งเอกสารต่าง ๆ
มาเพื่อประกอบการพิจารณาของท่านแล้ว
ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากท่าน
ให้เข้าพบเพื่ออธิบายในรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม
โดยท่านสามารถติดต่อดิฉันได้เบอร์โทรศัพท์ 089-9338811
และขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งต่อความกรุณาของท่านมา ณ ที่นี้
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวภาสินี โอฬารศรีสกุล)
วิชาภาษาไทย
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วิเคราะห์บทความนาฬิกาของร่างกาย
วิเคราะห์บทความนาฬิกาของร่างกาย
นาฬิกาของร่างกาย
การทำงานที่แสนมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ คุณเคยทราบไหมว่า
ร่างกายของคุณทำงานตามช่วงเวลา
โดยอวัยวะภายในร่างกายของคนจะทำงานตามการสั่งงานของสมองแบบอัตโนมัติ
ฉะนั้นเราจึงควรจะปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับการทำงานของร่างกายดังกล่าว
จะได้ไม่ฝืนกับนาฬิกาชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
01.00 น. - 03.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ตับ"
ข้อควรปฏิบัติ : นอนหลับพักผ่อนให้สนิท
อาหารบำรุง : อาหารที่ช่วยล้างพิษ เช่น งา น้ำผลไม้และน้ำสะอาด
03.00 น. - 05.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ปอด"
ข้อควรปฏิบัติ : ตื่นนอน สูดอากาศสดชื่น
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง เช่น ส้ม ผักใบเขียว น้ำผึ้ง หอมใหญ่
05.00 น. - 07.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ลำไส้ใหญ่"
ข้อควรปฏิบัติ : ขับถ่ายอุจจาระ
อาหารบำรุง : อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช
07.00 น. - 09.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "กระเพาะอาหาร"
ข้อควรปฏิบัติ : กินอาหารเช้า
อาหารบำรุง : ควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน
09.00 น. - 11.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ม้าม"
ข้อควรปฏิบัติ : พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
อาหารบำรุง : มันเทศสีแดง หรือเหลือง อาหารที่ทำจากบุก
11.00 น. - 13.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "หัวใจ"
ข้อควรปฏิบัติ : หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
อาหารบำรุง : อาหารที่มีสีแดงตามธรรมชาติ เช่น ถั่วแดงและผลไม้สีแดง น้ำมันปลา วิตามินบีต่างๆ
13.00 น. - 15.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ลำไส้เล็ก"
ข้อควรปฏิบัติ : งดกินอาหารทุกประเภท
อาหารบำรุง : อาหารไขมันต่ำ น้ำสะอาด
15.00 น. - 17.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "กระเพาะปัสสาวะ"
ข้อควรปฏิบัติ : ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกาย หรือ อบตัว)
อาหารบำรุง : ผลไม้เช่น บิลเบอร์รี่ และทานน้ำสะอาดมากๆ
17.00 น. - 19.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ไต"
ข้อควรปฏิบัติ : ทำตัวให้สดชื่น ไม่ง่วงหงาวหาวนอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีเกลือต่ำ รวมถึงสมุนไพรจีน เช่น ถั่งเฉ้า
17.00 น. - 21.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "เยื่อหุ้มหัวใจ"
ข้อควรปฏิบัติ : ทำสมาธิ หรือสวดมนต์
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ รวมถึงวิตามินบีต่างๆ
21.00 น. - 23.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ระบบความร้อนของร่างกาย"
ข้อควรปฏิบัติ : ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น
อาหารบำรุง : อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง โสม
23.00 น. - 01.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ "ถุงน้ำดี"
ข้อควรปฏิบัติ : ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่ทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
ที่มา : http://guru.sanook.com/pedia/topic
วิเคราะห์บทความนาฬิกาของร่างกาย
บทความนาฬิกาของร่างกายเป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเวลาการทำงานของแต่ละอวัยวะในร่างกาย,แนวทางในการปฏิบัติตนในช่วงเวลานั้นที่จะทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สุดและอาหารประเภทต่างๆที่จะช่วยบำรุงอวัยวะให้ทำงานได้ดีขึ้น บทความนี้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เนื้อหากระชับได้ใจความ เป็นหลักความจริง,มีเหตุผล ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก
ความผิดพลาดและการเริ่มต้นใหม่
ความผิดพลาดและการเริ่มต้นใหม่
บ่อยครั้งที่ชีวิตผิดพลาด..ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่
เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้น ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์...ให้เสียใจ
และพยายามจะสร้างคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอ
ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน "ไม่ใช่ความจริง" ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างไม่รู้ตัว
รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ
ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด เพราะ "เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น" เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้...ไปไม่เป็น...เหมือนจะมองเห็นทาง แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น
ลองมองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต..."ยังคงมีชีวิต" แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโต งอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง
เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย
จงใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก
"ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก"
แม้ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีต เป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ...
"ความเศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกเศร้า แต่ข้อดีของมันคือ...สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก"
ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน
ขอเพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้า จะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า…เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน "ไม่ใช่ความจริง" ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างไม่รู้ตัว
รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ
ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด เพราะ "เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น" เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้...ไปไม่เป็น...เหมือนจะมองเห็นทาง แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น
ลองมองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต..."ยังคงมีชีวิต" แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโต งอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง
เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย
จงใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก
"ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก"
แม้ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีต เป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ...
"ความเศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกเศร้า แต่ข้อดีของมันคือ...สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก"
ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน
ขอเพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้า จะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า…เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น
โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
สิ่งที่ยังไม่เกิด
ความคิดนี่แหละที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขที่ควรจะเกิด
ควรจะมีให้ลดน้อยลงไป บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะความคิด ความกังวล ทำ ให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก
ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข
ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข
ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้ บางที ใครจะรู้ว่า อะไรๆที่ไปกังวลนั้น
อาจจะมาไม่ถึงก็ได้ ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้
จะตื่นหรือเปล่า
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข .
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข .
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา
ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคน อ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักการเติบโตทุกๆก้าว ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักการเติบโตทุกๆก้าว ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า
"โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์
ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต"
ทีมา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=864139
เหตุผลที่ชอบ
บทความเรื่องโชคดีที่มีความทุกข์นี้ เป็นบทความที่ให้กำลังใจ
และแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยมีข้อคิดที่ข้าพเจ้าประทับใจดังนี้ "อย่ากังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
มีความสุขกับทุกวินามีที่ยังมีลมหายใจ อย่าไปกลัวกับความทุกข์ที่มาถึง
ไม่มีใครไม่มีความ แต่ความทุกข์จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทำให้เราเติบโตมากขึ้น
ดังนั้นควรโชคดีที่วันนี้เรามีความทุกข์" บทความนี้มีเนื้อหาที่กระชับ
จับใจความง่าย ใช้ภาษาที่ข้าพเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และคล้อยไปตามผู้เขียน
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
วิเคราะห์เนื้อหาทุกข์ของชาวนาในบทกวี
ผู้แต่ง : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ประวัติของผู้แต่ง : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เป็นผู้ถวายพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดากิติวัฒนาดุลโสภาคย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรง
พระปรีชาสามารถ ในด้านต่างๆ ด้านภาษาและวรรณคดี
ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง
และงานแปล งานพระราชนิพนธ์ที่รู้จักแพร่หลาย ได้แก่ ย่ำแดนมังกร แก้วจอมซน
ดั่งดวงแก้ว เป็นต้น
ที่มาของเรื่อง : บทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
มีที่มาจากหนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533
ในวโรกาสที่พระองค์ทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ โดยนิสิต คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 41 หนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์เรื่อง
มณีพลอยร้อยแสง แบ่งเนื้อหาออกเป็น 11 หมวด ด้วยกัน คือ กลั่นแสงกรองกานท์,
เสียงพิณเสียงเลื่อน เสียงเอื้อนเสียงขับ, เรียงร้อยถ้อยดนตรี,
ชวนคิดพิจิตรภาษา, นานาโวหาร, คำขานไพรัช, สมบัติภูมิปัญญา, ธาราความคิด,
นิทิศบรรณา,สาราจากใจ และ มาลัยปกิณกะ ในหมวด ชวนคิดพิจิตรภาษา
เป็นพระราชนิพนธ์บทความและบทอภิปรายรวม 4 เรื่อง คือ ภาษาไทยกับคนไทย,
การใช้สสรพนาม, วิจารย์คำอธิบายเรื่องนามกิตก์ในไวยากรณ์บาลีและ
ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
จุดมุ่งหมายในการแต่ง :
1.เป็นรูปแบบความเรียงพิจารณาวรรณกรรมโดยแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
2.เป็นตัวอย่างการใช้ถ้อยคำเรียบง่าย กะทัดรัด สละสลวย ประโยคสั้นๆง่ายๆ
3.สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าพระทัยปัญหาของชาวนาทั้งยังทรงแสดงพระเมตตาเห็นใจความทุกข์ยากลำบากของชาวนา
ลักษณะคำประพันธ์ : ทุกข์ของชาวนาในบทกวี เป็น บทความแสดงความคิดเห็น
ซึ่งเป็นบทความที่มีจุดมุ่งหมายที่แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
ความคิดเห็นที่นำเสนอได้มาจากการวิเคราะห์
การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองของผู้เขียน โดยผ่านการสำรวจปัญหา ที่มาของเรื่อง
และข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด
ความคิดเห็นที่นำเสนออาจจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาตามทัศนะของผู้เขียนหรือการ
โต้แย้งความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีมาก่อนอย่างไรก็ตาม
บทความแสดงความคิดเห็นที่ดีควรนำเสนอทัศนะใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคิด
หรือเสนอทัศนะที่มีเหตุผลเป็นการส้างสรรค์
ไม่ใช่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของความคิดเห็นที่นำเสนอนั้นขึ้นอยู่กับการ
วิเคราะห์ปัญหา
การใช้ปัญหาไตร่ตรองโดยปราศจากอคติและการแสดงถึงเจตนาดีของผู้เขียนที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
วิเคราะห์เนื้อหา : ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ทรงขึ้นความนำด้วย บทกาพย์ยานี ชื่อ เปิปข้าว ของจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นทำนองทวงบุญคุณจากทุกคนว่า ทุกครั้งที่กินข้าวก็ขอให้นึกว่า ชาวนาทุกคนทุกข์ยากลำบากเพียงใดกว่าจะได้ข้าวมาให้คนกิน
ทรงดำเนินเนื้อหาความว่า ชาวนาทุกข์ยาก และยากจนเกินกว่าที่จะเรียกร้องลำเลิกกับใครๆ การทำนานั้นเหนื่อยยาก และยากจนที่สุดในพวกเกษตรกรรม ถ้ามีทางเป็นไปได้ก็ไม่มีอยากเป็นชาวนา
ทรงยกตัวอย่างบทกวีจีน ผู้แต่งชื่อ หลี่เชิน อยู่เมืองอู่ซี ที่แต่งไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่พรรณาถึงความทุกข์ของชาวนาว่าทำงานหนักแสนสาหัส
ทรงเปรียบเทียบบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ กับหลี่เชิน ว่ากวีทั้งสองอยู่ในยุคสมัยที่ห่างกันถึงพันกว่าปี แต่ต่างก็แต่งแสดงความคิดเห็นความทุกข์ยากของชาวนาเหมือนกัน ต่างกันแต่กลวิธีคือ หลี่เชินนั้นเหมือนวาดภาพชาวนาให้คนเห็น ส่วนจิตรนั้นเหมือนชาวนามาเรียกร้องด้วยตนเอง
สมเด็จพระเทพฯ ทรงกล่าวถึงบทกวีของหลี่เชินว่า ใช้ถ้อยคำเรียบๆง่าย แต่แสดงความขัดแย้งให้เห็นชัดเจนว่า สภาพภูมิดากาศและพื้นดินในยุคนั้นอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ แต่ผลผลิตก็ไม่ได้ตกแก่ชาวนา ชาวนาทำงานหนักแต่ก็ยากจน
ทรงกล่าวว่า สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนไป จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นกวีในยุคนี้ และพระองค์เองก็ทรงเห็นว่าไม่มีอะไรต่างกันจากเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว คือ ชาวนาก็คงยากจน และมีความทุกข์อยู่เช่นเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นน้ำพระทัยของพระองค์ว่า ทรงเข้าใจและเห็นใจชาวนาเป็นอย่างยิ่ง
คำศัพท์ :
กำซาบ = ซึมเข้าไป
เขียวคาว = สีเขียวของข้าว ซึ่งน่าจะหอมสดชื่นกลับมีกลิ่นเหม็นคาว เพราะข้าวนี้เกิดจากหยาดเหงื่อ ซึ่งแสดงถึงความทุกข์ยากและความชมชื่นของชาวนา
จำนำพืชผลเกษตร = การนำผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวไปฝากกับหน่วยงานที่รับฝากไว้ก่อนเพื่อเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อน
ฎีกา = คำร้องทุกข์ การร้องทุกข์
ธัญพืช = มาจากภาษาบาลีว่า ธัญพืช เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด ที่ให้เมล็ดเป็นอาหารหลัก
นิสิต = ผู้ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย
ประกันราคา = การที่รัฐ เอกชน หรือองค์กรต่าง ๆ รับประกันที่จะรับซื้อผลผลิตตามราคาที่กำหนดไว้ในอนาคต ไม่ว่าราคาในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
เปิบ = วิธีการใช้ปลายนิ้วขยุ้มข้าวใส่ปากตนเอง
พืชเศรษฐกิจ = พืชที่สามารถขายได้ราคาดี พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เช่น ข้าว ยางพารา อ้อย ปาล์มน้ำมัน
ภาคบริการ = อาชีพที่ให้บริการผู้อื่น เช่น พนักงานในร้านอาหาร ช่างเสริมสวย
วรรณศิลป์ = ศิลปะในการประพันธ์หนังสือ
สวัสดิการ = การให้สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ผู้ทำงานมีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสะดวกสบายเช่น มีสถานพยาบาล มีที่พักอาศัย จัดรถรับส่ง
สู = สรรพนามบุรุษที่ 2 เป็นคำโบราณ
อาจิณ = ประจำ
อุทธรณ์ = ร้องเรียน ร้องทุกข์
ลำเลิก = กล่าวทวงบุญคุณ กล่าวคำตัดพ้อต่อว่า โดยยกเอาความดีที่ตนทำไว้ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้สำนึกบุญคุณที่ตนมีอยู่กับผู้นั้น
ข้อคิดที่ได้รับ :
1.ได้รู้ความสำคัญเกี่ยวกับอาชีพของชาวนาว่าเป็นยังไง
2.ได้รู้ว่าชาวนาต้องลำบากเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ได้ตามความต้อการ
3.ได้รู้ว่าทั้งหลี่เจินและจิตร ภูมิศักดิ์ ได้เห็นความสำคัญเกี่ยวกับชาวนา
สรุป :
พระราชนิพนธ์เรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี แสดงให้เห็นถึงความเข้าพระทัยและเอาพระทัยใส่ในปัญหาการดำรงชีวิตของชาวนาไทย ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพระเมตตา อันเปี่ยมล้นของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนาผู้มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก เริ่มชีวิตและการทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำงานแบบหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินตลอดทั้งปี ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคจึงควรสำนึกในคุณค่าและความหมายของชาวนาที่ปลูกข้าวอันเป็นอาหารหลักเพื่อการมีชีวิตอยู่รอดของคนไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)